1. พอมีพอกิน ปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองบ้าง ปลูกไม้ผลไว้หลังบ้าน 2-3 ต้น พอที่จะมีไว้กินเองในครัวเรือน เหลือจึงขายไป
2. พออยู่พอใช้ ทำให้บ้านน่าอยู่ ปราศจากสารเคมี กลิ่นเหม็น ใช้แต่ของที่เป็นธรรมชาติ (ใช้จุลินทรีย์ผสมน้ำถูพื้นบ้าน จะสะอาดกว่าใช้น้ำยาเคมี) รายจ่ายลดลง สุขภาพจะดีขึ้น (ประหยัดค่ารักษาพยาบาล)3. พออกพอใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไม่ใคร่อยากใคร่มีเช่นผู้อื่น เพราะเราจะหลงติดกับวัตถุ ปัญญาจะไม่เกิด " การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง "
"เศรษฐกิจพอเพียง" จะสำเร็จได้ด้วย "ความพอดีของตน"
วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ความสำคัญและประโยชน์เศรษฐกิจพอเพียง
หลักแนวคิดและทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง
หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง
การ พัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำ
ทฤษฏีใหม่
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่หนึ่ง
การ ผลิต ทฤษฎีในขั้นที่ หนึ่งหรือที่รู้จักกันดีในอีกชื่อหนึ่งว่า "เกษตรทฤษฎีใหม่" เป็นขั้นเริ่มต้นที่มีความสำคัญเพราะว่าเป้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการผลิต
การจัดแบ่งพื้นที่ตามทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระ องค์ทรงคิดคำนวณเป็นสูตรไว้อย่างคร่าว ๆ ดังนี้ คือในพื้นที่แต่ละแปลงควรประกอบไปด้วย นา 5 ไร่ พืชไร่และพืชสวน 5 ไร่ สระน้ำ 3 ไร่ ที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ อีก 2 ไร่ รวมทั้งหมด 15 ไร่และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 : 30 ; 30 ; 10 : ซึ่งสัดส่วนนี้อาจปรับเปลี่ยนหรือยิดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง : การรวมพลังกัน
เมื่อ เกษตรกรเริ่มเข้าใจถึงกลักการและวิธีการ และได้ดำเนินการในที่ดินของตนตามทฤษฎีใหม่ เมื่อได้ผลก้เริ่มขั้นที่ สอง คือ ให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกัน ดำเนินการในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. การผลิต
2. การตลาด
3. การเป็นอยู่
4. การศึกษา
5. สวัสดิการ
6. สังคมและศาสนา
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ประวัติและความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพียง
http://www.sufficiencyecnomy.org
ความหมายเศรษฐกิจพอเพียง
enoughe.conomy.blogspot.com
เกษตรและทฤษฎีใหม่
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช | |
สาร เมื่อ | |
1. ออก
3. ไซ 4. เอทิลีนและ 5. สาร
ไดกู |
แก๊สชีวภาพ
แก๊สชีวภาพ
ปัจจุบันการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศเจริญเติบโตและพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลจากการเลี้ยงสัตว์ได้ก่อให้เกิดปัญหาของเสียและน้ำเน่าจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากฟาร์มสุกร กำลังเป็นปัญหาที่ทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม และปัญหานี้นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น แก๊สชีวภาพเป็นเทคโนโลยีรูปแบบหนึ่งซึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ได้ประยุกต์นำไปใช้ประโยชน์ในฟาร์เลี้ยงสัตว์เป็นเวลานานมาแล้ว โดยได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานราชการ หลายแห่ง แต่การใช้ประโยชน์ดังกล่าวยังมีปัญหาและข้อจำกัดอยู่ ทั้งนี้เพราะขาดการศึกษา วิจัยและส่งเสริมกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง อีกทั้งระบบแก๊สชีวภาพที่มีการก่อสร้าง ในอดีตเป็นชนิดที่ออกแบบเพื่อใช้ประโยชน์ของแก๊สโดยใช้มูลสัตว์เพียงส่วนหนึ่งของฟาร์มเท่านั้น รวมทั้งการทำงานของระบบยังมีปัญหาทางเทคนิคหลายด้าน ปัจจุบันจึงได้ มีการประยุกต์เทคโนโลยีแก๊สชีวภาพไปใช้ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยเน้นการบำบัดของเสียจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์และการรักษาสภาพแวดล้อม นอกเหนือไปจากการใช้ประโยชน์ของ ของเสียและแก๊สเพียงอย่างเดียวมูล
1. อุณหภูมิ (Temperature) การย่อยสลายอินทรีย์และการผลิตแก๊สในสภาพปราศจากออกซิเจน สามารถเกิดขึ้นในช่วงอุณหภูมิที่กว้างมากตั้งแต่ 4-60 องศาเซลเซียสขึ้นอยู่กับชนิดของกลุ่มจุลินทรีย์ 2. ความเป็นกรด-ด่าง (pH) ความเป็นกรด-ด่าง มีความสำคัญต่อการหมักมาก ช่วง pH ที่เหมาะสมอยู่ในระดับ 6.6-7.5 ถ้า pH ต่ำเกินไปจะเป็นอันตรายต่อแบคทีเรียที่สร้างแก๊สมีเทน 3. อับคาลินิตี้ (Alkalinity) ค่าอัลคาลินิตี้ หมายถึง ความสามารถในการรักษาระดับความเป็นกรด-ด่าง ค่าอัลคาลินิตี้ที่เหมาะสมต่อการหมักมีค่าประมาณ 1,000 - 5,000 มิลลิกรัม/ลิตร ในรูปของแคลเซียมคาร์บอร์เนต (CaCO3) 4. สารอาหาร (Nutrients) สารอินทรีย์ซึ่งมีความเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ มีรายงานการศึกษาพบว่า มีสารอาหารในสัดส่วน C:N และ C:P ในอัตรา 25:1 และ 20:1 ตามลำดับ 5. สารยับยั้งและสารพิษ (Inhibiting and Toxic Materials) เช่น กรดไขมันระเหยได้ ไฮโดรเจน หรือแอมโมเนีย สามารถทำให้ขบวนการ ย่อยสลาย ในสภาพไร้ออกซิเจนหยุดชะงักได้ 6. สารอินทรีย์และลักษณะของสารอินทรีย์สำหรับขบวนการย่อยสลาย ซึ่งมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้าเกี่ยวข้อง 7. ชนิดและแบบของบ่อแก๊สชีวภาพ (Biogas Plant) บ่อแก๊สชีวภาพ แบ่งตามลักษณะการทำงาน ลักษณะของของเสียที่เป็นวัตถุดิบ และประสิทธิภาพ การทำงานได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ ดังนี้ 7.1 บ่อหมักช้าหรือบ่อหมักของแข็ง บ่อหมักช้าที่มีการสร้างใช้ประโยชน์กันและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป มี 3 แบบหลักคือ (1) แบบยอดโดม (fixed dome digester) (2) แบบฝาครอบลอย (floating drum digester) หรือแบบอินเดีย (Indian digester) (3) แบบพลาสติกคลุมราง (plastic covered ditch) หรือแบบปลั๊กโฟลว์ (plug flow digester) 7.2 บ่อหมักเร็วหรือบ่อบำบัดน้ำเสีย แบ่งได้เป็น 2 แบบหลัก คือ 7.2.1 แบบบรรจุตัวกลางในสภาพไร้ออกซิเจน (Anaerobic Filter) หรืออาจเรียกตามชื่อย่อว่า แบบเอเอฟ (AF) ตัวกลางที่ทำได้จากวัสดุหลายชนิด เช่น ก้อนหิน กรวด พลาสติก เส้นใยสังเคราะห์ ไม้ไผ่ตัดเป็นท่อน เป็นต้น ในลักษณะของบ่อหมักเร็วแบบนี้ จุลินทรีย์จะเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนบนตัวกลาง ที่ถูกตรึงอยู่กับที่แก๊สถูกเก็บอยู่ภายในพลาสติกที่คลุมอยู่เหนือราง มักใช้ไม้แผ่นทับเพื่อป้องกันแสงแดดและเพิ่มความดันแก๊ส
องค์
|
การเลี้ยงกบคอนโดร่วมกับปลาดุก
1. วัสดุอุปกรณ์
1.1 ยางรถยนต์ปิคอัพ ขนาดรัศมี 15 – 18 นิ้ว ( ถ้าเลือกได้ควรเป็นยางรถปิคอัพ 4 wd เพราะจะมีขนาดใหญ่ สามารถเลี้ยงกบได้จำนวนมาก)
1.2 ท่อ pvc ขนาด 6 หุนขึ้นไป
1.3 ปูนซีเมนต์
1.4 แสลนบังแดด
1.5 พันธุ์กบ และพันธุ์ปลาดุก
1.6 อาหารปลาดุก
1.7 ฝาพัดลมเก่า
1.8 ขวดน้ำกลั่นตัดเป็นกรวย
2. การสร้างคอนโด
2.1 วางท่อระบายน้ำต่อเนื่องกัน ระหว่างคอนโด เพื่อระบายน้ำทิ้งลงสู่บ่อปลาดุก
2.2 นำยางรถยนต์มาวางทับกึ่งกลางท่อระบายน้ำ แล้วใช้ปูนซีเมนต์ยาแนวให้เป็นรูปก้นกะทะเพื่อสะดวกในการให้อาหารและระบายน้ำ
2.3 ทิ้งไว้ให้ปูนแห้ง แล้วนำน้ำมาใส่ให้ท่วมปูน ตัดต้นกล้วยเป็นชิ้นแล้วมาใส่เพื่อเจือจางความเป็นกรด และความเค็มของปูน แล้วล้างออกด้วยน้ำหมักจุลินทรีย์
2.4 ทำหลังคาแสลนบังแดดเพื่อไม่ให้ยางถูกแสงแดดมากจนเกินไป ซึ่งอาจทำความเสียหายกับกบได้
2.5 นำยางมาวางซ้อนกัน 3 ชั้น
2.6 ปล่อยกบลงคอนโด คอนโดละ 150 ตัว ( อายุกบ 1 – 2 เดือน )
2.7 ใช้ฝาพัดลมเก่าปิดปากด้านบนของคอนโด เพื่อป้องกันกบกระโดดออกไป
| |
3. อาหารกบ และการให้อาหาร
3.1 เดือนแรกให้อาหารปลาดุกเล็ก หรือกบเล็ก
เดือนที่สองให้อาหารปลาดุกรุ่น หรือกบรุ่น
เดือนที่สามให้อาหารปลาดุกใหญ่ หรือกบใหญ่
โดยการปิดรูระบายน้ำ โดยใช้ท่อ pvc สวมลงไปแล้วเติมน้ำให้เต็มก้นกะทะ โรยอาหารลงไปให้ลอยน้ำ กบจะลงมากินอาหารจนอิ่มแล้วก็จะกลับเข้าไปหลบอาศัยอยู่ในในวงยางตามเดิม
ในการให้อาหาร ควรจะให้ทีละน้อยๆแต่บ่อยครั้ง โดยเริ่มให้จากคอนโดแรกจนถึงคอนโดสุดท้าย แล้วย้อนกลับมาดูคอนโดแรกใหม่ ดูว่าอาหารหมดหรือยัง ถ้าหมดก็ให้เพิ่มอีก ให้ทำอย่างนี้ 3 - 5 ครั้งต่อมื้อ เมื่ออาหารเหลือก็ระบายลง สู่บ่อปลาดุก
3.2 อาหารเสริมจะเป็นพวก หนอน หรือไส้เดือนที่เราสามารถเพาะเลี้ยงเองได้
3.3 ใส่น้ำในขอบวงยางเพื่อให้ความเย็นแก่กบ
3.4 ควรถ่ายน้ำทุกวัน เช้าและเย็นก่อนให้อาหาร โดยใช้ขวดน้ำกลั่นที่ใช้แล้ว ตัดเป็นกรวยตักน้ำออกจากวงยาง แล้วระบายน้ำลงสู่บ่อปลาดุก ( ที่ใช้ขวดน้ำกลั่นเพราะมีความอ่อนสามารถตักน้ำจากวงยางได้หมด แม้ตักถูกตัวกบก็จะไม่ระคายเคือง )
3.5 ไม่แนะนำให้ใช้ไฟล่อแมลงให้กบกินกลางคืน เพราะกบจะไม่ได้พักผ่อน จะจ้องแต่จะกินแมลง และข้อสำคัญคือเราไม่รู้ว่าแมลงบางชนิดมีพิษอยู่ในตัว แมลงที่ไปถูกยากำจัดศัตรูพืชและไม่ตายโดยทันทีเมื่อมาเล่นไฟและตกลงไปให้กบ กิน กบกินยาพิษกำจัดแมลงเข้าไปด้วยก็จะทำให้กบตายในที่สุด
3.6 ควรมีการคัดขนาดทุก ๆ สัปดาห์เพราะกบจะมีการเจริญเติบโตไม่เท่ากัน ถ้าไม่คัดขนาดจะเกิดปัญหาการกัดกินกันเองได้
3.7 เมื่อเลี้ยงกบได้ 1 เดือนควรคัดให้เหลือประมาณ 100 ตัวต่อคอนโด เพื่อไม่ให้แออัดเกินไป (ถ้ามีเวลาในการจัดการเพียงพอก็สามารถเลี้ยง 150 ตัวต่อคอนโดไปจนถึงจับขายได้เลย)
3.8 ควรถ่ายพยาธิกบประมาณ เดือนละครั้งจนกว่าจะขาย โดยใช้ดีเกลือ 3 กรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัมให้ครั้งเดียว
4. พันธุ์กบที่นำมาเลี้ยง
ลูกกบอายุประมาณ 1-2 เดือน
5. ระยะเวลาการเลี้ยง
ประมาณ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับการจัดการและอาหาร (จะขายเมื่อน้ำหนักกบขนาด 3-5 ตัวต่อกิโลกรัม)
ข้อดีของการเลี้ยงกบคอนโดร่วมกับปลาดุก
-ใช้อาหารอย่างคุ้มค่า ไม่สูญเปล่า เพราะเศษอาหารที่เหลือจากการเลี้ยง กบ จะเป็นอาหารของปลาดุกอีกต่อหนึ่ง - ประหยัดต้นทุนในการก่อสร้างบ่อกบใช้วัสดุอุปกรณ์จากสิ่งเหลือใช้ ได้แก่ ยางรถยนต์เก่า ฝาพัดลมเก่า เป็นต้น
- ดูแลรักษาความสะอาดได้ง่ายลดปัญหาการเกิดโรค
-ประหยัดน้ำในการล้างทำความสะอาดบ่อ
-กบโตเร็วน้ำหนักดี
-ลดปัญหาเรื่องกัดกินกันเองทำให้อัตราการรอดสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์
http://www.northernstudy.org/kob_pradook.htm |
การปลูกข้าว
การปลูกข้าว
การทำ
1. การ